โรงงานผลิตครีม มีมากไม่แพ้คนขายครีม ใครอยากเป็นเจ้าของแบรนด์เครื่องสำอาง สกินแคร์ ไม่ได้เป็นเรื่องยากอีกแล้ว เพราะมีโรงงานผลิตครีม OEM คอยช่วยซัพพอร์ต ทำให้ไม่ต้องลงทุนเครื่องจักร ไม่ต้องเสียเวลาผลิตเอง ไม่ต้องคิดสูตรเองเพราะมีสูตรสำเร็จให้ ลงทุนน้อยเมื่อเทียบกับธุรกิจอื่น ๆ ฯลฯ แต่เราก็ต้องไม่ลืมว่าถึงจะมีคนช่วยทุ่นแรงเราไปได้มากแค่ไหน สิ่งสำคัญที่สุดที่เป็นหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจทุกรูปแบบไม่ใช่แค่เฉพาะกับธุรกิจเครื่องสำอาง ก็คือ เราต้องรู้แน่ชัดให้ได้ก่อนแล้วด้วยว่า เมื่อผลิตครีมออกมาแล้ว เราจะขายใคร ขายได้อย่างไร และประสบความสำเร็จกับธุรกิจที่ตั้งใจไว้ได้อย่างไร ดังนั้น ก่อนที่จะตัดสินใจจ้างโรงงานผลิตครีม OEM ผู้อยากสร้างแบรนด์เครื่องสำอางทุกคนจะต้องไม่ลืมทำ 3 สิ่งนี้เด็ดขาด ได้แก่
1. ก่อนคุยกับโรงงานผลิตครีม สำรวจคู่แข่งผลิตสินค้าให้ดี
เชื่อว่าเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ใครหลาย ๆ คนอยากทำแบรนด์เครื่องสำอางของตัวเองขายก็เพราะเห็นคนอื่น ๆ ทำแล้วประสบความสำเร็จได้ บวกกับมองเห็นว่าเรื่องของความสวยความงามนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีวันเสื่อมความนิยม แต่ทั้งนี้ การแค่เห็นคนอื่นทำแล้วคิดอยากทำบ้างก็เลยลงมือทำเลย ไปจ้างโรงงาน OEM ผลิตครีมขายบ้างเลยนั้นถือว่ายังไม่พอ และเป็นความประมาทอย่างมาก เพราะการลงมือทำจริงนั้น จะมีเรื่องของต้นทุนการผลิต ราคาขายที่ต้องตั้งให้ดี กำไรที่อยากได้ และความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์มาเกี่ยวข้องด้วย
ซึ่งครีมที่เราผลิตออกมาจะไม่มีโอกาสขายได้อย่างประสบความสำเร็จเลย หากเราไม่ได้สำรวจตลาดมาให้ดีก่อนว่า มีคู่แข่งเป็นใครบ้าง เขาทำอะไรอยู่ ขายอะไรอยู่ในตลาด ขายราคาเท่าไร รูปแบบ คุณภาพ จุดเด่นผลิตภัณฑ์เขาเป็นอย่างไร กล่าวคือ เราจำเป็นต้องศึกษาสินค้าคู่แข่งในตลาดให้ตกผลึกเสียก่อนว่า เราจะแข่งกับใคร เราจะวางตัวเราเองเอาไว้ตรงจุดไหนในใจผู้บริโภค เราจะต้องผลิตครีมแบบไหนถึงโดนใจ ถึงดึงดูดความสนใจลูกค้าได้ ต้องใช้อะไรเป็นจุดขายเพื่อโน้มน้าวใจลูกค้าให้เปลี่ยนใจมาใช้ผลิตภัณฑ์เรา ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ถ้าไม่ได้คิดวางแผนให้ดีก่อนสั่งโรงงาน OEM ผลิตสินค้าออกมาล่ะก็ โอกาสที่ทำออกมาแล้ว สินค้าจะค้างสต็อกขายไม่ออกและล้มเหลวไม่เป็นท่าจะมีสูงมาก
2. กำหนดแนวคิดของผลิตภัณฑ์ที่ต้องการผลิตให้นิ่งเสียก่อน
หลังจากที่สำรวจคู่แข่งในตลาดจนรู้แล้วว่าแต่ละแบรนด์ขายผลิตภัณฑ์อะไรบ้าง จุดเด่นเป็นอะไรบ้าง ก็ถึงเวลาที่เราจะต้องย้อนกลับมาสู่การทบทวนตัวเองให้ดีแล้วว่า เราจะขายสินค้าประเภทไหน แล้วมีจุดเด่นจุดขายอย่างไร อะไรเป็นแนวคิดผลิตภัณฑ์ของเราที่อยากจะเอาไว้ใช้สื่อสารกับผู้บริโภค เช่น เราจะขายครีมเพื่อผิวขาว หรือครีมรักษาสิวกันแน่ เราจะเน้นจุดขายที่ตรงไหนระหว่างราคาประหยัดเห็นผลลัพธ์จริง หรือจะเป็นส่วนประกอบจากธรรมชาติ หรือจะเป็นสูตรลับเฉพาะที่ไม่มีใครเคยใช้มาก่อน ฯลฯ
รวมถึงโลโก้ สีสัน รูปแบบแพ็คเกจจิ้งต่าง ๆ ก็จำเป็นต้องวางแนวทางให้ชัด เพราะเมื่อผลิตไปแล้วจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ หรือถ้าต้องการเปลี่ยนแปลงก็จะต้องเสียงบประมาณก้อนใหญ่ ซึ่งการที่เราจะทราบแนวคิด จะวางแนวทางของผลิตภัณฑ์เราได้ดีที่สุดนั้น เราก็จะต้องทราบเสียก่อนด้วยว่า “กลุ่มเป้าหมาย” ของเราคือใคร หรือเราอยากจะขายผลิตภัณฑ์นี้ให้กับคนกลุ่มไหนกันแน่ เฉพาะผู้หญิง หรือเฉพาะผู้ชาย หรือใช้ได้ทั้งชายและหญิง อายุของลูกค้าอยู่ในช่วงไหน วัยรุ่น วัยทำงาน หรือว่าผู้สูงวัย ฯลฯ
หน้าตาของกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการขายสินค้าให้นั้น จะเป็นตัวกำหนดแนวคิดในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ของเราได้อย่างชัดเจนที่สุด เพราะปัญหาของวัยรุ่น วัยทำงาน หรือผู้สูงวัยนั้นต่างกัน ปัญหาของผู้หญิงกับผู้ชายก็ต่างกัน หากเราไม่ได้ทำการบ้านข้อนี้ให้ดีพอ ครีมหรือสินค้าที่เราจ้างโรงงาน OEM ผลิตออกมาก็จะดูเลื่อนลอย ไร้จุดเด่น คือไม่มีความชัดเจนว่าจะขายใครดี อันนำไปสู่การมีอุปสรรคใหญ่ในการจัดจำหน่าย ในการทำการตลาดเพื่อสร้างยอดขาย
3. กำหนดช่องทางในการจัดจำหน่ายให้ถี่ถ้วน มั่นใจแล้วค่อยสั่งโรงงานผลิตครีม
ศึกษาคู่แข่งอย่างดี วางแนวคิดสินค้าอย่างเป็นระบบชัดเจน แต่ถ้าไม่ได้กำหนดช่องทางในการจัดจำหน่ายให้เหมาะสมก็อาจตกม้าตายกลายเป็นไม่สามารถขายสินค้าได้อย่างที่คาดหวังไว้ก็ได้ ที่สำคัญช่องทางการจัดจำหน่ายที่แตกต่างกัน ก็มีกระบวนการและขั้นตอนที่ต่างกัน ไปจนถึงมีค่าใช้จ่ายที่เป็นต้นทุนที่แตกต่างกันด้วย ซึ่งเมื่อต้นทุนต่างกันนั่นหมายความว่าราคาขายและกำไรในแต่ละช่องทางก็จะไม่เท่ากันด้วย
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพของช่องทางการจัดจำหน่ายหลากหลายช่องทาง เช่น วางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ขายเองผ่านช่องทางออนไลน์ เฟสบุค เว็บไซต์ ขายบนแพลทฟอร์มขายสินค้าออนไลน์อย่าง Lazada หรือว่า Shopee ขายด้วยระบบตัวแทน เป็นต้น ซึ่งพอจำแนกช่องทางการขายออกมาแบบนี้แล้วก็จะพอมองเห็นว่า วางขายในห้างก็มีการคิดต้นทุนแบบหนึ่งเช่นเก็บค่า GP ขายผ่านเฟสบุคคือต้องทำโฆษณาเองก็ต้องเสียค่ายิงแอด ค่าทำ Content ขายผ่านตัวแทนก็ต้องวางโครงสร้างราคาอีกแบบหนึ่ง ฯลฯ
ดังนั้น การที่เราจ้างโรงงานผลิตครีม OEM ไปโดยที่ไม่ได้วางแผนไว้ก่อนเลยว่าจะไปขายผ่านช่องทางไหน ถือว่าเป็นความเสี่ยงมาก เพราะช่องทางการจัดจำหน่ายแต่ละช่องทางนั้น ก็พาเราไปสู่กลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันด้วย กล่าวคือ ถ้าลูกค้าตัวจริงของเราอยู่บนโลกออนไลน์เป็นหลัก การไปขายที่เคาน์เตอร์แบรนด์ในห้างก็อาจไม่ตอบโจทย์ ทำให้เราไม่เจอลูกค้าตัวจริง เกิดเป็นอุปสรรคใหญ่ที่ทำให้ไม่สามารถขายสินค้าได้จนของค้างสต็อกเสียหายและธุรกิจล้มพับลงกลับยืนขึ้นไม่ได้ในที่สุด
อย่าปล่อยให้ความง่ายในการเริ่มต้นเป็นเจ้าของแบรนด์เครื่องอางที่มีโรงงานผลิตครีม OEM คอยช่วยอำนวยความสะดวกสบายนั้น กลายเป็นกับดักขนาดใหญ่ที่ฉุดรั้งธุรกิจในฝันของเราเอาไว้เพียงแค่ได้ลงมือทำแต่ไปไม่ถึงเส้นชัยที่ต้องการ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว โอกาสในการทำแบรนด์ให้ประสบความสำเร็จ ไม่ได้ยากเกินความสามารถของทุกคน หากใจเย็นมากพอที่จะศึกษา วางแผนให้รอบคอบรอบด้าน ก่อนที่จะตัดสินใจสั่งผลิตสินค้าออกมาจำหน่าย
เพราะเราต้องไม่ลืมว่าแม้การผลิตสินค้าให้มีคุณภาพนั้นจะสำคัญมาก แต่สิ่งที่สำคัญมากไม่แพ้กันเลยก็คือสินค้าที่ผลิตออกมาแล้วนั้นจะต้องขายได้ จะต้องเป็นที่ต้องการของตลาด จะต้องมีตลาดรองรับ หรือสามารถหาลูกค้าให้กับสินค้าที่ผลิตออกมาได้ ไม่เช่นนั้นแล้ว ก็เหมือนกับการที่เราลงทุนไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะทำในสิ่งที่ไม่มีใครต้องการออกมาขาย หรือไม่สามารถสร้างความต้องการให้เกิดขึ้นได้ และผลลัพธ์ปลายทางสุดท้ายก็คือ ย่อมไม่มีทางหนีรอดจากความล้มเหลวแน่นอน
หมายเหต โดยทั่วไปในการติดต่อโรงงานผลิตครีม ที่มีมาตรฐาน เราสามารถขอดูตัวอย่างผลิตภัณฑ์ก่อนได้ เพื่อตรวจสอบดูคุณภาพ ระดับงานผลิตของแต่ละโรงงานว่า ได้สินค้าออกมาเหมือนแบบที่เราคิดเอาไว้หรือไม่ ก่อนจะตัดสินใจผลิตจริง